เกิดวันที่ ๘ เดือน พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๔๖ ณ บ้านโต้น อำเภอพระยืน (เดิมคืออำเภอเมือง) จังหวัดขอนแก่น บิดา คือ นายพิมพ์ ดวงมาลา มารดา คือ นางแจ้ ดวงมาลา มีพี่น้องร่วมสายโลหิต คือ นางบี้ – นางเอื้อ (น้องสาว) นายเพิ่ม (น้องชาย) เป็นชาวบ้านโต้น อำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น
บรรพชา พ.ศ. ๒๔๙๕ เด็กชายคำตา ดวงมาลา บวชเป็นสามเณร ณ วัดศรีจันทร์ ตำบลบ้านโต้น อำเถอเมือง จังหวัดขอนแก่น โดยมีพระอาจารย์หน่อ เจ้าอาวาสวัดศรีจันทร์ เป็นพระอุปัชฌาย์
สามเณรคำตา ดวงมาลา เรียนอักษรธรรมและอักษรไทยน้อยกับอาจารย์หนู (น้องชายพระอาจารย์หน่อ) ใน พ.ศ.๒๔๖๑ เข้าอบรมวิชาครูและย้ายไปอยู่ที่วัดกลางเมืองเก่า ปฏิบัติรับใช้พระครูพิศาลอรัญเขต เจ้าอาวาสและเจ้าคณะอำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ในขณะนั้น
สามเณรคำตา ดวงมาลา เข้ารับการอบรมวิชาครูที่โรงเรียนขอนแก่นวิทยาคาร สอบไล่ได้ คะแนนอันดับที่ ๔ แม้มีผู้ประสงค์จะให้ลาสิกขา(สึก) แต่สามเณรคำตามีศรัทธาขออยู่ในเพศบรรพชิต ต่อมาได้รับการบรรจุเป็นครูประชาบาลประจำตำบลเมืองเก่า ในตำแหน่งครูน้อย ได้รับเงินเดือน ๖ บาท
พ.ศ. ๒๔๖๓ สามเณรคำตา ดวงมาลา ลาออกจากครูประชาบาล ลาญาติโยมชาวขอนแก่นมุ่งเข้าสู่เมืองกรุง พร้อมด้วยเจ้าอธิการสี พระสังข์ สามเณรสาร เดินเท้า ๙ วันถึงนครราชสีมาพักแรม ๑ คืนแล้วขึ้นรถไฟมุ่งสู่กรุงเทพมหานคร
สามเณรคำตา ดวงมาลา พำนักที่วัดพระยายัง ประสงค์จะอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหารแต่ไม่มีห้องว่างจึงย้ายไปพำนัก ณ วัดชนะสงคราม อยู่กับพระอาจาย์ทองคำ แพทย์กิจ เรียนหนังสือที่ สำนักวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์
สามเณรคำตา ดวงมาลา ย้ายจากวัดชนะสงครามมาอยู่วัดมหาธาตุถวายตัวเป็นศิษย์สมเด็จพระวันรัต (ฑิต อุทยมหาเถร) เจ้าอาวาสอยู่ปฏิบัติรับใช้พระธรรมไตรโลกาจารย์ (เฮง เขมจารีมหาเถร)
สามเณรคำตา อาจหาญเพียบพร้อมทั้งกายวาจาใจ ปริยัติแกล้วกล้า ปฎิบัติเคร่งครัด พระธรรมไตรโลกาจารย์ (เฮง เขมจารีมหาเถร) จึงเปลี่ยนชื่อให้ว่า “อาจ”
๑๘ มิถุนายน ๒๔๖๖ สามเณรอาจ ดวงมาลา อายุ ๒๐ ปี บวชเป็นพระภิกษุ ณ พระอุโบสถวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ โดยมีพระธรรมไตรโลกาจารย์ (เฮง เขมจารีมหาเถร) เป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระญาณสมโพธิ (สวัสดิ์)เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระศรีสมโพธิ์ (ช้อย) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “อาสโภ” (แปลว่า ผู้องอาจ)
พ.ศ. ๒๔๖๖ พระอาจ อาสโภ สอบได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค ได้เป็นพระมหาอาจ และด้วยความมุ่งมั่นต่อการศึกษา ท้ายที่สุด ใน พ.ศ.๒๔๗๒ พระมหาอาจสอบได้เปรียญธรรม ๘ ประโยค เมื่ีออายุ ๒๖ ปี
พ.ศ. ๒๔๗๔ พระมหาอาจ อาสโภ ป.ธ.๘ อายุ ๒๘ พรรษา ๘ ได้รับมอบหมายจากพระพิมลธรรม (เฮง เขจารีมหาเถร) เจ้าคณะมณฑลอยุธยา ให้ย้ายไปอยู่ที่วัดสุวรรณดาราราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตามคำขอของสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ เสนาบดีกระทรวงมหาไทยในขณะนั้น
พระมหาอาจพร้อมด้วยภิกษุอีก๔รูปมุ่งมั่นทำงานเพื่อพระพุทธศาสนาเป็นที่ยอมรับและศรัทธาของพระสงฆ์ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๗๗ พระมหาอาจ อาสโภ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ที่ “พระศรีสุธรรมมุนี” เมื่ออายุ ๓๒ พรรษา ๑๒
พ.ศ.๒๔๗๘ พระศรีสุธรรมมุนี (อาจ อาสภเถร) เป็น เจ้าอาวาสวัดสุวรรณดาราราม พัฒนาการศึกษาคณะสงฆ์ เป็นผู้อำนวยการศาสนศึกษาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จัดตั้งการศึกาษาบาลี เป็นกรรมการศึกษาประชาบาล กรรมการแปลพระไตรปิฎก กรรมการตรวจสำนวนพระอภิธรรม และกรรมการแห่งสภาการศึกษาคณะสงฆ์
พ.ศ.๒๔๘๘ พระศรีสุธรรมมุนี (อาจ อาสภเถร) เป็นเจ้าคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สร้างความเจริญแก่ชาวอยุธยาอย่างมหาศาล ฯพณฯปรีดี พนมยงค์ถึงกับกล่าวชมว่า “ใต้เท้ามีพรสวรรค์ จะต้องไปดูงานในต่างประเทศให้ได้”
พ.ศ.๒๔๘๘ พระศรีสุธรรมมุนี (อาจ อาสภเถร) เป็นสังฆมนตรีช่วยว่าการองค์การศึกษา ใน พ.ศ.๒๔๘๙ เลื่อนสมณะศักดิ์เป็นพระเทพเวที และเป็นแม่กองธรรมสนามหลวง วางรากฐานการศึกษาของคณะสงฆ์ไทยเพื่อ “สร้างพระให้เป็นคน”
พระมหาอาจ อาสโภ ไปอยู่อยุธยาใน พ.ศ.๒๔๗๔ ถึง ๒๔๙๐ รวม ๑๗ ปี ทำงานหนักเพื่อพระศาสนา ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ตามลำดับ จนกระทั่งได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระธรรมไตรโลกาจารย์ อายุ ๔๔ พรรษา ๒๓
พระธรรมไตรโลกาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร) ย้ายจากวัดสุวรรณดาราราม มาเป็นอธิบดีสงฆ์(เจ้าอาวาส) วัดมหาธาตุ ฯ หลวงพ่อกล่าวคำลาชาวกรุงเก่าตอนหนึ่งว่า “เมื่อมาที่นี้ใน พ.ศ. ๒๔๗๔” การมาคราวนั้นมาแบบตัวเปล่ามีเพียงหัวใจและสังขารที่ห่อหุ้มด้วยผ้า ๓ ผืน เมื่อถึงคราวที่ต้องไปจะขอไปแบบตัวเปล่า ขอเพียงผ้า ๓ ผืน”
พ.ร.บ คณะสงฆ์ ๒๔๘๔ แบ่งงานบริหารการคณะสงฆ์ส่วนกลางเป็น ๔ องค์การ คือ องค์การปกครอง องค์การเผยแผ่ และองค์การสาธารณูปการ ใน.พ.ศ. ๒๔๙๑ พระธรรมไตรโลกาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร) ได้รับพระบัญแต่งตั้งเป็น “สังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง”
พระธรรมไตรโลกาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร) ขณะเป็นสามเณรคำตา ใน พ.ศ.๒๔๖๑-๒๔๖๓ เป็นครูโรงเรียนประชาบาลวัดกลางเมือง มีความเป็นครูมาตั้งแต่เด็ก ใน พ.ศ.๒๔๗๔ ไปพัฒนาการศึกษานักธรรมบาลีในอยุธยา ใน พ.ศ.๒๔๙๐ มาเป็นอธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุ ร่วมบริหารมหาธาตุวิทยาลัย ร่วมดำเนินงานเปิดการศึกษาของมหาจุฬาฯ ตั้งโรงเรียนบาลีมัธยม ม.๑-๘ ตั้งโรงเรียน พอ.มจร.ตั้งอภิธรรมโชติกะวิทยาลัย
พระธรรมไตรโลกาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร) ขณะเป็นสามเณรคำตา ใน พ.ศ.๒๔๖๑-๒๔๖๓ เป็นครูโรงเรียนประชาบาลวัดกลางเมือง มีความเป็นครูมาตั้งแต่เด็ก ใน พ.ศ.๒๔๗๔ ไปพัฒนาการศึกษานักธรรมบาลีในอยุธยา ใน พ.ศ.๒๔๙๐ มาเป็นอธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุ ร่วมบริหารมหาธาตุวิทยาลัย ร่วมดำเนินงานเปิดการศึกษาของมหาจุฬาฯ ตั้งโรงเรียนบาลีมัธยม ม.๑-๘ ตั้งโรงเรียน พอ.มจร.ตั้งอภิธรรมโชติกะวิทยาลัย
ในวโรกาสเฉลิมฉลอง ๒๕๐๐ ปีแห่งพระพุทธศาสนา พระพิมลธรรม (อาจ อาสภมหาเถร) ให้คำปรึกษาแก่จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีว่า “ประเทศไทยควรมีศูนย์รวมของชาวพุทธทั่วโลก ” จึงได้สร้างพุทธมณฑลขึ้น เป็นพุทธสถานสำคัญยิ่งในปัจจุบัน
พ.ศ.๒๕๐๑ พระพิมลธรรม (อาจ อาสภมหาเถร) ไปดูกิจการพระศาสนาที่พม่าและศรีลังกา เห็นวิธีการสอนพระพุทธศาสนาแก่เยาวชนในวันอาทิตย์ในประเทศนั้นๆ ปรารภกับคณะบริหารและพระนิสิตของมหาจุฬา ฯ ว่า ” ประเทศไทยควรมีโรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ เพื่อสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็ก อันจะเป็นกำลังต่อไปในอนาคต ”
พระพิมลธรรม (อาจ อาสภมหาเถร) เทศน์สอนประชาชนโดยไม่รูปจักเหน็ดเหนื่อย ตั้งแต่สมัยเป็นพระมหาอาจ เช่น ใน พ.ศ.๒๔๗๓ เทศน์สอนประชาชนในเขตจังหวัดชัยนาท พ.ศ.๒๔๗๔ เทศน์สอนประชาชนในเขตจังหวัดสระบุรี พ.ศ.๒๔๗๖ เป็รคณาจารย์โทในทางเทศนา พ.ศ.๒๔๘๔ สมัยเป็นศรีสุธรรมมุนี (ชั้นราช) เป็นคณาจารย์เอกในทางเทศนา หลวงพ่อถือว่า “ให้ข้อแนะนำ ข้อคิด และคติธรรม ” สำคัญที่สุด
พ.ศ. ๒๔๙๕ พระพิมลธรรม (อาจ อาสภมหาเถร) ส่งพระมหาโชดก ญาณสิทฺธิ (พระธรรมธีรราชมหามุนี) ไปเรียนวิปัสสนากรรมฐานที่พม่า ๑ ปี กลับมาพร้อมด้วยพระวิปัสสนาจารย์ชาวพม่า ๒ รูป คือหลวงพ่อภัททันตะอาสภเถระ และหลวงพ่ออินทวังสะ ธัมมาจริยะ ปัจจุบันมีสำนักวิปัสสนามากกว่า ๔๐๐ แห่งในประเทศไทย
พระพิมลธรรม (อาจ อาสภมหาเถร) สมใจวิปัสสนาธุระตั้งแต่เยาว์วัย ใช้หลักวิปัสสนาสร้างคน ให้รู้จักผิดชอบชั่วดี วัดมหาเป็นศูนย์วิปัสสนาทั้งของชาวไทยและชาวต่างประเทศ วางรากฐานวิปัสสนากรรมฐาน หลวงพ่อสร้างสิ่งอันเป็นประโยชน์ยิ่งโดยตั้งสำนักวิปัสสนาในเรือนจำ ๓ แห่ง คือเรือนจำเชียงราย นครปฐม และนนทบุรี
พระพิมลธรรม (อาจ อาสภมหาเถร) ศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎกอย่างสม่ำเสมอ ในเวลา ๐๕.๐๐ น. , ๐๗.๓๐ น., ๑๓.๐๐ น. , และ ๑๙.๐๐ น. จดบันทึกประจำวันในเวลาำ ๒๓.๐๐ น. ในการทำงานของท่าน ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๗๒ เป็นต้นมา หลวงพ่อได้เทศนา บรรยาย เขียนบทความและหนังสือเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาไว้เป็นจำนวนมาก
พ.ศ. ๒๔๙๕ พระพิมลธรรม (อาจ อาสภมหาเถร) นำพระมหาโชดก พระมหาบำเพ็็ญและสามเณรไสวไปเรียนที่พม่า และใน พ.ศ.๒๔๙๗ เป็นผู้แทนคณะสงฆ์ไทยเดินทางไปพม่าเพื่อร่วมพิธีฉัฏฐสังคายนา รัฐบาลพม่าได้ถวายตำแหน่งอัครมหาบัณฑิตแก่พระพิมลธรรม
พ.ศ. ๒๔๙๗ พระพิมลธรรม (อาจ อาสภมหาเถร) ส่งพระมหานคร (พระราชรันตโมลี) และพระมหามนัสไปเรียนที่มหาวิทยาลัยนวนาลันทา ภายใต้การกำกับดูแลของพระมหาเถระ เจ.กัสสปะ นำพระมหาชูศักดิ์ ไปเรียนที่ศรีลังกาโดยฝากไว้กับพระพี วชิรญาณมหาเถระ ส่งพระมหาสุพรรณ พระมหาสายและสามเณรพิทักษ์ไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น
พ.ศ.๒๕๐๒ พระพิมลธรรม (อาจ อาสภมหาเถร) เดินทางไปประชุม เอ็ม.อาร์.เอ. ซึ่งจัดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นและในอีกหลายประเทศ องค์กรนี้ตั้งขึ้นที่ประเทศอังกฤษ โดย ดร.แฟรง บุชแมน มุ่งส่งเสริมสันติภาพ และมิตรภาพ ยึดหลักสัจจะ ทมะ จาคะ และเมตตา
พ.ศ.๒๕๒๘ พระพิมลธรรม (อาจ อาสภมหาเถร) ได้รับแต่งตั้งเป็นสังคิตการกสงฆ์ และสังฆปาโมกข์ ฝ่ายพระอภิธรรมปิฎก ดูแลตรวจชำระพระไตรปิฎกฉบับหลวง เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในวโรกาสที่จะเจริญพระชนมพรรษาครบ ๕ รอบนักษัตร ใน พ.ศ.๒๕๓๐
๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๒๘ พระพิมลธรรม (อาจ อาสภมหาเถร) ได้รับพระกรุณาโปรดสถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระพุฒาจารย์ สมถวิปัสสนาญาณปรีชา อรัญญิกมหาปริณายก ตรีปิฎกโกศล วิมลคัมภีรญาณสุนทร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัญวาสี เป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ องค์ที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
๒๘ สิงหาคม ๒๕๓๑ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร) อธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
๑๑ ธันวาคม ๒๕๓๑ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร) อายุ ๘๕ พรรษา ๖๕ ได้รับพระบัญชาแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก ปกครองดูแลพระสงฆ์ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งหมด รวมทั้งภาคตะวันออกบางส่วน
๒๓ ธันวาคม ๒๔๘๙ ขณะดำรงค์สมณศักดิ์ที่ “พระเทพเวที” ร่วมประชุมที่หอปริยัติ เพื่อยกฐานะของมหาวิทยาลัย ต่อมา ๙ มกราคม ๒๔๙๐ ร่วมพิธีเปิดการศึกษามหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พร้อมกับพนะเถรานุเถระ ๕๗ รูป ที่ตำหนักสมเด็จ และวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๔๙๐ ร่วมประชุมเปิดภาคเรียนการศึกษาที่พระอุโบสถวัดมหาธาตุ ฯ
๒๓ ธันวาคม ๒๔๘๙ ขณะดำรงค์สมณศักดิ์ที่ “พระเทพเวที” ร่วมประชุมที่หอปริยัติ เพื่อยกฐานะของมหาวิทยาลัย ต่อมา ๙ มกราคม ๒๔๙๐ ร่วมพิธีเปิดการศึกษามหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พร้อมกับพนะเถรานุเถระ ๕๗ รูป ที่ตำหนักสมเด็จ และวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๔๙๐ ร่วมประชุมเปิดภาคเรียนการศึกษาที่พระอุโบสถวัดมหาธาตุ ฯ